ใจสลาย ลูกชายวัย 1 ขวบดับคาที่ใต้ท้องรถกระบะของพ่อ

         เหตุการณ์ที่เศร้าสลดใจในครั้งนี้เกิดขึ้นในครอบครัวหนึ่งที่มีอยู่ด้วยกัน 4 คนพ่อแม่ลูกโดยลูกชายคนโตอายุ 5 ขวบและคนเล็กอายุ 1 ขวบ 2 เดือนซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 8 เดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. 2563  โดยเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าซึ่งเป็นช่วงที่พ่อกับแม่กำลังดูแลลูกๆให้กินอาหารเช้าซึ่งรบกวนข้าวลูกทั้งสองคนเสร็จเรียบร้อยแล้วแม่เองก็ได้เดินเข้าไปในหลังบ้านเพื่อไปทำการล้างจานส่วนผู้เป็นพ่อนั้นได้เดินออกไปหน้าบ้านเพื่อที่จะนำเงินไปเข้าธนาคาร

โดยที่ทั้งสองคนไม่มีใครดูเลยว่าลูกชายทั้งสองคนของเขาเล่นอยู่ตรงบริเวณไหนโดยในขณะที่แม่ล้างจานอยู่นั้นลูกชายคนโตก็วิ่งเข้ามาบอกแม่ว่าพ่อถอยรถมาทับน้องไปทางแม่จึงได้วิ่งออกไปดูลูกก็เห็นร่างลูกชายวัย 1 ขวบ 2 เดือนอยู่ใต้ล้อรถกระบะของสามีเรียบร้อยแล้วโดยสามีเองได้บอกกับพญาว่าตอนที่ขึ้นรถมาไม่เห็นว่าลูกเดินตามมาพอจะถอยรถเพื่อออกตัวก็พบว่าตนเองถอยรถมาทับลูกตายเสียแล้วซึ่งผู้เล่นนำร่างของลูกชายไปส่งที่โรงพยาบาลแต่คุณหมอไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้โดยคุณหมอบอกว่าเด็กชายเสียชีวิตก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลแล้ว

ซึ่งคาดการณ์กันว่าเด็กน่าจะเสียชีวิตตั้งแต่ตอนถูกทับครั้งแรกแล้วซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้สองสามีภรรยาได้มีการแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงมาตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุและมีการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่อยู่บริเวณใกล้ชิดของสองสามีภรรยาดังกล่าวและกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อที่จะได้สามารถเอาผิดสามีที่ขับรถโดยประมาทอีกด้วย

      เหตุการณ์เศร้าสลดแบบนี้มีเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งที่พ่อหรือแม่มักจะปล่อยปละละเลยลูกให้เล่นอยู่คนเดียวแล้วจะออกไปทำธุระข้างนอกโดยที่ลืมไปว่าลูกอยู่ตรงบริเวณไหนจึงเป็นสาเหตุให้หลายครอบครัวต้องสูญเสียลูกของตนเองไปจากความประมาทเลินเล่อในการถอยรถซึ่งเป็นที่มาของการแนะนำวิธีการจอดรถว่าหากเราจะจอดรถภายในบริเวณบ้านของเรานั้น

เราควรจะถอยหลังจอดแล้วหันหน้ารถออกไปนอกบ้านเพื่อที่เวลาเราจะออกไปนอกบ้านในช่วงเช้าหรือช่วงเวลาไหนก็แล้วแต่เราจะได้ไม่ต้องถอยรถออกไปเมื่อเด็กมาอยู่ด้านหลังของตัวรถเราจะได้เห็นได้ทันทีเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการถอยรถทับเด็กและที่สำคัญไม่ควรให้เด็กอยู่ห่างสายตายิ่งในเด็กที่กำลังเล็กอย่างอายุ 1 ขวบถึง 5 ขวบด้วยแล้วเด็กเหล่านี้มักจะซุกซนและมักจะติดตามพ่อแม่อยู่เสมอดังนั้นก่อนที่จะออกรถควรเช็คให้เรียบร้อยก่อนว่าลูกมีการเดินตามหลังมาหรือไม่เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเหมือนกับกรณีของสามีภรรยาคู่นี้อีก

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8 ดีไหม