ทำอย่างไรให้ “ไลค์-แชร์-โพสต์” แบบไม่ผิดกฎหมาย

ในยุคปัจจุบันที่โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การกดไลค์ แชร์ หรือโพสต์ข้อมูลเป็นสิ่งที่ทำกันอย่างแพร่หลาย

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจไม่ทราบว่าการกระทำเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายได้หากไม่ระมัดระวัง ดังนั้น เราควรรู้จักแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดกฎหมายและป้องกันตัวเองจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

  1. ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลก่อนโพสต์หรือแชร์

   – การแชร์ข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือข่าวปลอม (Fake News) อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์) ที่สามารถเอาผิดกับผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น

   – ควรตรวจสอบข่าวจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ข่าวที่มีชื่อเสียง หรือหน่วยงานราชการ ก่อนตัดสินใจโพสต์หรือแชร์

 

  1. หลีกเลี่ยงการโพสต์หรือแชร์เนื้อหาหมิ่นประมาท

   – การโพสต์หรือแชร์ข้อมูลที่พาดพิงผู้อื่น อาจถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญา และหากเป็นการกระทำบนโซเชียลมีเดีย อาจถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีโทษหนักกว่า

   – แม้แต่การกด “ไลค์” หรือคอมเมนต์ที่สนับสนุนข้อความที่เป็นเท็จหรือหมิ่นประมาทก็อาจเข้าข่ายความผิดได้

   – หลีกเลี่ยงการโพสต์ข้อความที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง

 

  1. ไม่โพสต์หรือแชร์เนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์

   – รูปภาพ วิดีโอ บทความ หรือเพลงที่ไม่มีลิขสิทธิ์ หรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ หากนำมาเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และมีโทษตามกฎหมาย

   – หากต้องการใช้สื่อของผู้อื่น ควรขออนุญาตก่อน หรือใช้สื่อที่เปิดให้ใช้งานฟรี (Creative Commons) และให้เครดิตตามที่กำหนด

 

  1. ระวังการโพสต์หรือแชร์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ 

– หลีกเลี่ยงการโพสต์หรือแชร์ข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยก ความรุนแรง หรือกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เช่น ข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล กองทัพ หรือสถาบันต่าง ๆ

   – การแชร์ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือบิดเบือนเกี่ยวกับสถาบันสำคัญของชาติอาจทำให้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

  1. หลีกเลี่ยงการโพสต์หรือแชร์ข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

   – การเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่น เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ หรือรูปภาพ โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

   – ควรขออนุญาตจากเจ้าของข้อมูลก่อนโพสต์หรือแชร์เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย

 

  1. อย่าใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือหลอกลวงหรือฉ้อโกง

   – การโพสต์หรือแชร์ข้อความที่เป็นเท็จเพื่อหลอกลวง เช่น การขายสินค้าหลอกลวง โฆษณาเกินจริง หรือแชร์ข้อมูลปลอมเกี่ยวกับการลงทุน อาจเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง

   – ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลก่อนกดแชร์หรือโพสต์เพื่อป้องกันการมีส่วนร่วมในการกระทำผิดกฎหมาย

 

  1. ระมัดระวังการโพสต์หรือแชร์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือผิดศีลธรรม

   – การโพสต์ภาพหรือวิดีโอที่มีเนื้อหาลามกอนาจารหรือรุนแรง อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของผู้โพสต์เอง

   – ควรใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีสติและคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่น

 

การใช้โซเชียลมีเดียให้ปลอดภัยและถูกกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เราระมัดระวังในการไลค์ แชร์ หรือโพสต์ข้อมูล

โดยยึดหลักการตรวจสอบแหล่งที่มา หลีกเลี่ยงการหมิ่นประมาท ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์และสิทธิส่วนบุคคล และไม่นำไปใช้ในทางที่ผิด

การใช้สื่อออนไลน์อย่างมีความรับผิดชอบจะช่วยให้เราสนุกกับการใช้โซเชียลมีเดียโดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย      เครื่องช่วยฟังราคาถูก

อาการของ Shopaholic: ภาวะเสพติดการช้อปปิ้ง 

Shopaholic หรือ ภาวะเสพติดการช้อปปิ้ง เป็นอาการที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและการเงินอย่างรุนแรง

ผู้ที่มีอาการนี้มักไม่สามารถควบคุมความต้องการซื้อของได้ จนกลายเป็นพฤติกรรมที่สร้างความเสียหายทั้งด้านจิตใจและการเงิน  

 

หนึ่งในอาการสำคัญของ Shopaholic คือ การซื้อของเป็นประจำทุกวันหรือทุกสัปดาห์ ผู้ที่มีอาการนี้มักจะหาโอกาสช้อปปิ้งอยู่เสมอ โดยอาจเริ่มต้นจากความสนุกหรือความสุขในการซื้อของ แต่เมื่อเวลาผ่านไป

การช้อปปิ้งกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้ พวกเขามักจะรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขอย่างมากในช่วงเวลาที่ได้ซื้อของ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของออนไลน์หรือการไปเดินช้อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้า  

 

ช้อปปิ้งเพื่อคลายเครียด เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะนี้ หลายคนใช้การซื้อของเป็นวิธีการปลดปล่อยความเครียด ความเศร้า หรือความเบื่อหน่าย

เมื่อรู้สึกไม่สบายใจหรือวิตกกังวล การช้อปปิ้งกลายเป็นเครื่องมือในการเยียวยาจิตใจชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ความสุขเหล่านี้เป็นเพียงช่วงสั้นๆ และมักตามมาด้วยความรู้สึกผิดหรือเสียใจหลังจากได้ช้อปปิ้ง  

ผู้ที่เสพติดการช้อปปิ้งมัก ใช้บัตรเครดิตเต็มวงเงิน และอาจเปิดบัตรเครดิตใหม่เพิ่มเพื่อให้สามารถช้อปปิ้งต่อไปได้

แม้ว่าจะยังมีหนี้ค้างชำระจากบัตรใบเก่า พฤติกรรมนี้นำไปสู่ปัญหาการเงินที่รุนแรงและเป็นวงจรซ้ำซาก การช้อปปิ้งเกินตัวโดยไม่คำนึงถึงรายได้ที่แท้จริง ส่งผลให้เกิดหนี้สินสะสมมากขึ้นจนไม่สามารถจัดการได้  

 

อาการอีกประการที่พบคือ การซื้อของที่ไม่จำเป็น หรือซื้อของมาแล้วไม่ได้ใช้ เช่น การซื้อเสื้อผ้าจำนวนมากแต่ไม่เคยสวมใส่ หรือการซื้อสินค้าซ้ำๆ

โดยไม่มีเหตุผลที่สมควร สินค้าที่ถูกซื้อมาอาจถูกเก็บไว้โดยไม่ได้ใช้งาน ทำให้กลายเป็นภาระในการจัดเก็บและเป็นหลักฐานที่สะท้อนถึงพฤติกรรมเสพติดการช้อปปิ้ง  

 

ความตื่นเต้นและความเคลิบเคลิ้มขณะได้ช้อปปิ้งเป็นสัญญาณทางจิตวิทยาที่เกิดจากการหลั่งสารโดพามีนในสมอง คล้ายกับความรู้สึกตื่นเต้นจากการเสพติดสิ่งอื่น เช่น การพนันหรือการดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ผู้ที่มีอาการนี้ต้องการซื้อของมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสัมผัสความรู้สึกนั้นอีกครั้ง  

 

ในกรณีที่รุนแรง ผู้ที่เสพติดการช้อปปิ้งอาจ โกหกหรือลักขโมยเพื่อให้ได้ช้อปปิ้งต่อ พฤติกรรมนี้อาจเริ่มจากการโกหกคนรอบข้างเกี่ยวกับการใช้เงิน หรือซ่อนของที่ซื้อมาเพื่อไม่ให้ใครรู้ และในบางรายอาจถึงขั้นลักขโมยเพื่อหาเงินมาช้อปปิ้งต่อไป  

แม้ผู้ที่มีอาการ Shopaholic จะ รู้สึกผิดหรือเสียใจหลังได้ช้อปปิ้ง แต่ก็ยังคงทำซ้ำอีก การเสพติดนี้มีลักษณะคล้ายการเสพติดสารเคมีตรงที่ยากจะหลุดพ้นจากพฤติกรรมดังกล่าว แม้จะตั้งใจหยุดหรือพยายามควบคุมตัวเอง แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่สามารถยับยั้งความต้องการได้ 

 

สนับสนุนโดย    เครื่องช่วยฟังยี่ห้อไหนดี