Latest Posts

เตือนภัยหน้ากากอนามัยทั้งแพงทั้งบาง

 ในโลกออนไลน์ได้มีผู้ใช้ Facebook รายหนึ่ง

ได้มีการ post ภาพหน้ากากอนามัยที่มีสีเขียวแต่มีลักษณะบางมากมาแสดงในหน้า Facebookของตัวเองทั้งยังมีการเล่าเรื่องราวถึงที่มาของหน้ากากอนามัยดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการเตือนกลุ่มคนที่ต้องการซื้อหน้ากากอนามัยในช่วงนี้ให้มีการตรวจสอบหน้ากากก่อนที่จะซื้อให้ดีดี เพราะอาจจะเจอกับของที่ไม่ดีนำมาหลอกขายก็ได้

โดยเธอได้เล่าวันเธอและเพื่อนของเธอได้ไปเดินหาซื้อของกันที่วังหลัง  ซึ่งเป็นตลาดขายสินค้าที่อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งในขณะที่เดินหาซื้อของนั้นเธอสังเกตเห็นว่ามีแม่ค้ามาตั้งแผงหลายร้าน ที่นำหน้ากากอนามัยมาขาย เมื่อมองแล้วก็เหมือนกับทีเขาขายกันตามร้านขายยาทั่วไปจึงได้สั่งซื้อจำนวนทั้งสิ้น 8 แผ่นเพราะคิดว่าจะลองเอาไปใช้ดูก่อนถ้าดีก็จะมาซื้อเพิ่ม

ซึ่งแม่ค้าได้ก้มหยิบจากในกล่องด้านหลังให้ใหม่แล้วคิดเงิน 150 บาทซึ่งเธอก็ไม่ได้คิดอะไร ถือถุงหน้ากากอนามัยเดินออกมาแล้วไปเดินซื้อของกันต่อกับเพื่อนจนถึงเวลากลับบ้านเธอและเพื่อนเดินทางกลับโดยรถโดยสารซึ่งเมื่อเธอขึ้นไปบนรถจึงได้เปิดถุงเพื่อเอาหน้ากากที่เพิ่งซื้อมาจะใช้ก็ปรากฏว่า หน้ากากอนามัยที่ซื้อมามีลักษณะบางมาก

ซึ่งหากเปรียบกับหมูที่กินในร้านหมูกระทะ หน้ากากอนามัยนี้ยังบางกว่าเลย ซึ่งตนเองมองว่าหน้ากากอนามัยที่บางมากขนาดนี้จะไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ เพื่อนของเธอต่างก็บอกให้เธอเอากลับไปคืนแม่ค้าคงเดิมแต่เธอมองว่านั่งรถมาไกลแล้วและเสียรู้แม่ค้าไปแล้วจึงนำเรื่องดังกล่าวมาโพสต์เตือนเพื่อนคนอื่นอื่นใน Facebook จนกลายเป็นข่าวโด่งดังขึ้นมา

            และเมื่อนักข่าวเดินทางไปที่ตลาดวังหลัง ก็พบกับร้านค้าที่ขายหน้ากากอนามัยเป็นจำนวนมากจริงจริง ซึ่งหน้ากากที่วางขายก็มีหลายขนาดและหลายราคา โดยแม่ค้าได้บอกกับนักข่าวว่า หน้ากากที่รับมานั้นมีราคาสูงอยู่แล้ว เวลานำมาขายต่อก็ต้องขายให้ได้กำไร ส่วนราคาที่ไม่เท่ากันของหน้ากากนั้นก็เพราะว่ามีทั้งแบบหนา

และแบบบาง ตอนนี้หน้ากากอนามัยค่อนข้างหากมาขายยากดังนั้นคนทีนำมาขายต่อขายให้แม่ค้าแพง เมื่อรับมาแพงตัวแม่ค้าเองก็ต้องขายแพง และหากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับคนขายของแพงก็ควรจะไปจับกับผู้ผลิตเพราะส่งมาแพงไม่ควรจะมาจับแม่ค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณอาทิตย์ที่แล้ว เหล่าแม่ค้าที่ตลาดวังหลังก็เพิ่งจะถูกจับกุมเรื่องที่ขายหน้ากากอนามัยแพงไป 

 

ขอบคุณที่ให้เรื่องราวให้นำมาเสนอโดย dewabet

อุบัติเหตุพระซิ่งรถชนกับมอเตอร์ไซต์ เสียชีวิต 1

ที่จังหวัดพิษณุโลก ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุรถเก๋งชนกับรถจักรยานยนต์ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณตรงจุดกลับรถพระว่าเกิดเหตุการณ์ที่พระขับรถเก๋งมาแล้วชนเข้ากับรถจักรยานยนต์ที่กำลังจะกลับรถ

ซึ่งจากกล้องวงจรปิดจะเห็นว่าบนถนนใกล้ตรงจุดกลับรถมีรถมอเตอร์ไซต์หนึ่งคันกำลังเบี่ยงจากเลนซ้ายไปยังเลนขวาด้วยความเร็วไม่มากนักเพื่อจะไปกลับรถจู่จู่ก็มีรถเก๋งคันสีดำคันหนึ่งวิ่งมาทางเลนขวาความเร็วสูงและพุ่งชนเข้ากับรถมอร์เตอร์ไซต์เข้าอย่างจังซึ่งคนที่ขับรถยนต์คันดังกล่าวนั้นคือพระ

ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้มีคนตายจำนวน 1 คนและคนที่บาดเจ็บอีกจำนวน 1 คนโดยคนที่ตายชื่อว่านางบุญส่ง วิลาไลน์ และส่วนคนที่บาดเจ็บชื่อว่านายนิคม วิลาไลน์ ซึ่งเป็นสามีของคนตาย โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้คนเป็นสามีที่เป็นคนขี่รถจักรยานยนต์บาดเจ็บส่วนภรรยาที่นั่งซ้อนท้ายมาเสียชีวิตทันที ซึ่งหลังจากที่รถเก๋งได้ชนกับรถจักรยานยนต์แล้ว

รถเก๋งคันดังกล่าวได้ไปจอดห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งคนขับรถเก๋งลงมาจากรถด้วยอาการตกใจซึ่งต่อมาทราบชื่อคนขับรถเก๋งคันดังกล่าวว่าเป็น พระ ซึ่งชื่อว่า พระอนุชา บุญประดิษฐ์ไพศาลพระลูกวัดรินทอง พอเจอกับตำรวจหน้าตาของพระยังแสดงถึงอาการตกใจอยู่ ซึ่งท่านได้เล่าเหตุการณ์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่า ท่านไปฉันเพลมาและกำลังขับรถ

เพื่อกลับวัดพอมาถึงจุดเกิดเหตุ รถจักรยานยนต์เลี้ยวตัดหน้ากะทันหัน ทำให้ท่านเบรกรถไม่ทันแล้วจึงได้เกิดเหตุการณ์สลดดังกล่าวขึ้น ซึ่งทางบอกว่ารถเก๋งคันที่ท่านขับได้มีการติดกล้องหน้ารถเอาไว้ ตอนนี้ท่านได้นำกล้องวีดิโอดังกล่าวส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแล้วและเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและนำไปเป็นหลักฐานต่อไป

    ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเห็นได้ว่าพระขับรถมาด้วยความเร็วมาก จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถเบรกได้ทันเมื่อมีรถวิ่งตัดหน้า ซึ่งหากใครที่ได้เห็นกล้องวงจรปิดจะเห็นว่ารถจักรยานยนต์ค่อยค่อยขับเบี่ยงเลนจากซ้ายไปขวาไม่ได้วิ่งข้ามตัดไปในทันที ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องนำหลักฐานทั้งจากกล้องหน้ารถของพระและกล้องจากถนนที่มีการติดตั้งไว้ตรงเสาไฟฟ้า

เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาความผิดในครั้งนี้ว่าใครผิด และที่สำคัญที่ทำให้ข่าวนี้เป็นข่าวที่ประชาชนสนใจนั่นก็เพราะว่าคนที่ขับรถเก๋งที่ไปก่อเหตุชนคนนั้นเป็นพระ ซึ่งอันที่จริงแล้วพระไม่ควรที่จะขับรถเพราะต้องสำรวจและที่สำคัญขับมาด้วยความเร็วอีกด้วย

เครื่องเสียงเป็นเหตุ เปิดเสียงดังโดนยิงดับ

เหตุการณ์นี้เป็นเหตุสลดใจ เมื่อวัยรุ่นมีเรื่องกันและอีกฝั่งหนึ่งใช้ปืนลูกซองยิงเข้าหาอีกฝั่ง

ซึ่งลักษณะของปืนลูกซองกระสุนจะออกมาแบบกระจายซึ่งมือปืนได้รัวยิงไปหลายนัดทำให้อีกฝั่งคนที่ยืนอยู่หน้าสุดได้รับกระสุนไปเต็มเต็มทั้งตัวเลยซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้มีผลทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 1 คนและบาดเจ็บอีกจำนวน 3 คน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นที่ชลบุรี

โดยเหตุการณ์เลวร้ายนี้เกิดขึ้นบริเวณอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชโรธรณ์อยู่ที่อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี ส่วนผู้เคราะห์ชื่อว่านายกิติชัย ซึ่งนายกิติชัยอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้นได้โดนกระสุนปืนลูกซองยิงตั้งแต่หน้าอกและลามไปจนถึงลำคอเพราะกระสุนที่ยิงออกมา ยิงมาเป็นห่ากระสุนเลย มีสะเด็กกระสุนเต็มไปหมดซึ่งนับรวมสะเก็ดกระสุนที่ฝั่งอยู่ในร่างกายของนายกิติชัยนับแล้วไม่ต่ำกว่า 40 รู ซึ่งหลังจากที่นายกิติชัยโดนกระสุนปืนแล้วเพื่อนเพื่อนต่างก็รีบพากันนำร่างของนายกิติชัยรีบนำส่งโรงพยาบาล

แต่ยังไปไม่ทันถึงโรงพยาบาลนายกิติชัยก็มาเสียชีวิตเสียก่อน และนอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 3 คนคือ นายราชพัน อายุ 26 ปี , นายณัฐวุธ อายุ 24 ปีและนายสมคิดอายุ 45 ปี เรื่องของเรื่องที่ต้องมายิงกันในทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนแล้วพบว่าในวันดังกล่าวที่เกาะจันทร์ที่เป็นสถานที่เกิดเหตุได้มีการจัดการแข่งขันประชันเครื่องเสียงรถยนต์กัน

ซึ่งนอกจากจะประชันเสียงเครื่องเสียงรถยนต์กันแล้วยังมีการเปิดเพลงข่มกันไปข่มกันมา จนเป็นสาเหตุให้มีเรื่องทะเลาะวิวาทและชกต่อยกัน  และเมื่อชกต่อยกันได้สักพัก ฝ่ายที่ก่อเหตุเพลี่ยงพล้ำสู้ไม่ได้จึงได้พากันวิ่งหนี

และเมื่อวิ่งหนีไปแล้วก็ไปเอาอาวุธปืนมา พอมีปืนอยู่ในมือก็เริ่มไม่เกรงกลัวใครจึงได้ยิงปืนออกมาใส่กลุ่มคู่อริหลายนัด ซึ่งกระสุนที่ยิงเข้ามาโดนกลุ่มคู่อริหลายคนแต่โดนนายกิติชัยหนักมากที่สุดจนเป็นเหตุทำให้นายกิติชัยเสียชีวิตในเวลาต่อมา

 ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นอกจากจะมีปัญหาในเรื่องของการแข่งขันกันเปิดเพลงเสียงดังจนเกิดความไม่พอใจกันแล้วยังเกิดจากทั้งสองกลุ่มได้ดื่มสุราเข้าไปจึงทำให้ไม่มีความยับยั้งช่างใจ และมีความฮึกเหิมเพราะแต่ละกลุ่มก็คิดว่าตัวเองมีพวกเยอะกว่ากัน ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบว่ามือปืนเป็นใครและอยู่ระหว่างการจับกุมมาดำเนินคดี

แม่น้องต่ายหัวใจสลาย ลั่นไม่ให้อภัยมือปืนเด็ดขาด

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาที่โรงพยาบาลนิติเวชรามาธิบดีแพทย์

ได้เริ่มกระบวนการผ่าพิสูจน์ศพของน้องต่ายเหยื่อที่สามีคือในเจเข้าไปยิงที่คลินิกเสริมความงามณห้างสรรพสินค้าเซ็นจูรี่ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หน้าด้านพี่สาวของน้องต่ายก็อยู่ระหว่างการเตรียมการเอกสารเพื่อมารับศพของน้องต่ายไปบำเพ็ญกุศลซึ่งคาดการณ์ว่าในช่วงบ่ายก็จะสามารถนำร่างของน้องต่ายไปไว้ที่วัดได้ขณะเดียวกันนักข่าวก็ได้ไปสัมภาษณ์คุณนารีรัตน์

ซึ่งเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องกับน้องต่ายสาเหตุที่ตายกับนายเจเลิกกันเป็นเพราะว่าในเจเป็นคนอารมณ์ร้อนหึงห่วงแล้วก็ชอบลงไม้ลงมือกับน้องต่ายอยู่เป็นประจำจนน้องต่ายทนไม่ไหวจนน้องต่ายต้องตัดขาดจากครอบครัวและออกมาอยู่ต่างหากห่างจากครอบครัวอยู่ห่างจากพ่อแม่เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาตามมาข่มขู่อีกจนน้องต่ายต้องหนีไปอาศัยอยู่กับเพื่อนเมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมา

แต่พอน้องต่ายนี้ไปอยู่กับเพื่อนนายเจก็ยังตามมาง้อและหลอกอุบายขอหย่ากับน้องต่ายเพื่อที่น้องต่ายจะได้ออกมาปรากฏตัวจนมีการไปเซ็นใบหย่ากันเกิดขึ้นในวันที่ 11 เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาแล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มาก่อเหตุยิงน้องต่ายเสียชีวิตซึ่งทางคุณนารีรัตน์เล่าว่าก่อนหน้านี้นายเจก็ได้มีแฟนใหม่ไปแล้วแต่ก็ยังมาตามห่วงน้องต่ายอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งเรื่องนี้ครอบครัวของน้องต่ายรู้เรื่องมาโดยตลอดและตลอด 10 ปีที่ผ่านมาและนายเจไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูทั้งน้องต่ายและลูกที่เกิดด้วยกัน 1คนซึ่งตอนนี้อายุเจ็ดขวบแล้วตอนนี้พ่อแม่ของน้องต่ายและลูกชายของน้องต่ายทราบเรื่องแล้วแต่ยังทำใจไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นเชื่อว่าญาติทุกคนของน้องต่ายจะไม่มีวันให้อภัยกับนายเจถึงแม้ว่าในเจจะสำนึกผิดแล้วก็ตามส่วนนั้นแม่ของน้องต่ายก็ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่ายังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

และยังทำใจไม่ได้ซึ่งแม่น้องต่ายได้บอกว่าจะไม่มีทางยกโทษและอโหสิกรรมให้กับนายเจแน่นอนโดยแม่ของน้องต่ายอยากให้คนที่ทำร้ายน้องต่ายได้รับโทษด้วยการถูกประหารชีวิต แม่ของน้องตายยังเล่าให้ฟังว่าหลังจากก่อเหตุแล้วนายเจยังได้โทรเข้ามาหาแม่ตอนเวลาประมาณ หนึ่งทุ่ม

พร้อมทั้งพูดคุยปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ตอนนั้นแม่ได้รู้ข่าวแล้วว่านายเจได้ฆ่าน้องตายตายแล้วซึ่งแม่ก็ได้ดากลับนายเจเข้าไปในสาย แล้วหลังจากนั้นก็ติดต่อนายเจไม่ได้อีกเลย ซึ่งหลังจากนี้จะไม่ขอให้อภัยนายเจ อีกตลอดชีวิต เพราะนายเจ โหดร้ายเกินไป

โจ๋กระหน่ำยิงปืนใส่อริหน้าวัดจันทร์ 

 มีเหตุการณ์วัยรุ่นกระหน่ำยิงปืนใส่กันหน้าวัดจันทร์  เพชรเกษม 48 ตรงกับท้องที่ภาษีเจริญในช่วงเวลา 4 ทุ่มตำรวจเดินทางไปพบปลอกระสืนปืนตกอยู่เกลื่นถนน ประมาณ 15-16 ปลอกมีหลายขนาด ทั้งขนาด.38  มีทั้ง 11 มิลลิเมตรและพบรอยกระสุนที่ยิงแนวระนาบ ในเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้บาดเจ็บ 2 คน คนแรกชื่อนายวิทยา

ส่วนอีกคนที่บาดเจ็บคือนาย วิชิต โดยผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งว่ามีใครยิงกันเสียงปืนรัวไปหมด ซึ่งอีกฝั่งหนึ่งขับรถมาประมาณ 7-8 คัน เมื่อวัยรุ่นที่ขับรถจักรยานยนต์มาถึงก็ยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัด หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังรัวรัว

ซึ่งวิถีกระสุนพุ่งตรงมาใส่ยังกลุ่มผู้บาดเจ็บ โดยผู้บาดเจ็บได้เล่าว่า ตนเองและเพื่อนเพื่อนมาร่วมฟังสวดพระอภิธรรมศพที่วัดจันทร์แห่งนี้  ซึ่งในตอนแรกมีวัยรุ่นขี่รถจักรยานยนต์มาสองคันก่อน โดยคนที่ขี่จักรยานยนต์สองคันนี้ขับรถเข้ามาในบริเวณวัดแล้วเข้ามาถามหาคนชื่อนายวิทยาและชื่อนายวิชิตว่าพวกมันอยู่ที่ไหน ซื่อวิทยาได้บอกกับกลุ่มวัยรุ่นที่มาถามว่านาย วิทยาและนายวิชิตอยู่ในงาน และหลังจากนั้นไม่นานก็มีรถจักรยานยนต์ขับตามมาสบทบกับสองคันแรกเพิ่มอีกหลายคัน

และยังมีรถยนต์ทะเบียน 7546 อีกด้วย ซึ่งนายวิทยาบอกว่าจำได้แต่ตัวเลข แต่ตัวอักษรจำไม่ได้ ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวเป็นสีขาว เหตุการณ์ในตอนนั้นชุลมุนมาก เพราะกลุ่มเด็กวัยรุ่นมีมากและแต่ละคนก็มีอาวุธปืนครบมือ

ซึ่งเท่าที่เห็นทุกคนถือปืนคนละกระบอกเลย และหลังจากที่กลุ่มวัยรุ่นลงมาจากรถก็ได้ยิงปืนขึ้นฟ้าสองนัดแล้วหลังจากนั้นก็ยิงปืนในลักษณะแนวระนาบเข้ามาในวงเหล้า โดยยิงเข้ามาในวงเหล้าที่พวกเขากำลังยืนกินเหล้ากันอยู่บริเวณหน้าวัด ทำให้คนที่อยู่ในวงเหล้าต้องวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุนเพราะกลัวตาย

และเมื่อหาสาเหตุว่าทำไมวัยรุ่นจึงต้องมายิง สาเหตุเกิดจากอะไร กลุ่มในวัยรุ่นมีปัญหากับคนที่อยู่ในวงเหล้านี้หรือเปล่า พอมาสอบสวนแล้วจึงพบว่าไม่ได้มีเรื่องกัน

แต่เรื่องเกิดจาก เสี่ยโป้ไปเที่ยวที่ประเทศลาวแล้วโดนไล่กระทืบซึ่งมีคนในกลุ่มของเสี่ยโป้โดนทำร้าย แล้วมีคนไปโพสต์ต่อว่าเสี่ยโป้ว่าทำไมไม่ดูแลลูกน้องซึ่งคนที่โพสต์เป็นเพื่อนกับลูกน้องของเสี่ยโป้ที่ถูกทำร้าย ทำให้ลูกน้องคนอื่นๆของเสี่ยโป้ไม่พอใจ จึงตามมายิงคนที่โพสต์  สรุปแล้วเหตุยิงกันเพราะลูกน้องของเสี่ยโป้ไม่พอใจคนที่มาโพสต์ต่อว่าเสี่ยโป้

พี่สาวแจง น้องไม่ไม่ฮุบเงินล้าน นายเจมาใช้จนนายเจต้องก่อเหตุฆาตกรรม

เกี่ยวกับข่าวคดีอดีตสามีบุกเข้าไปยิงอดีตภรรยาเสียชีวิตที่ห้างเซนจูรี ตรงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจนเสียชีวิต และในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จับตัวคนร้ายที่เป็นอดีตสามี ที่ลงมือก่อเหตุได้แล้ว แต่ว่าเรื่องราวยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะว่าชาวสังคมโซเชียลต่างพากันพยายามค้นหาสาเหตุว่าทำไมชายคนดังกล่าวจะต้องนำปืนมายิงอดีตภรรยาของตัวเองด้วย

เพราะได้หย่าขาดจากกันแล้วและที่สำคัญต่างฝ่ายต่างก็มีคนใหม่แล้ว ซึ่งมีหลายคนไปโพสต์ข้อความเหมือนกับว่าที่ฝ่ายชายคือ นายเจ ต้องมาสังหาร อดีตภรรยาก็คือ น้องต่าย

นั่นก็เพราะว่าก่อนหน้านี้น้องต่ายไปเอาเงินของนายเจ มาเพื่อมาทำศัลยกรรม แล้วเมื่อได้เงินน้องต่ายก็ทิ้งนายเจ ทำให้เจโกรธแค้นจนต้องไปยิงน้องต่าย จนเสียชีวิต บ้างก็บอกว่าน้องต่ายเอาเงินไปซื้อรถป้ายแดง

ซึ่งเงินนั้นเป็นเงินของนาย เจ และเมื่อได้รถแล้วน้องต่ายก็ทิ้งนายเจ  ซึ่งทางญาติของน้องต่ายได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับ เรื่องนี้ว่าน้องต่ายไปซื้อรถยนต์ป้ายแดงมาจริงแต่ก็ไปกับนายเจ โดยทั้งคู่รวมเงินกันไปเพื่อจะไปออกรถใหม่ แต่ในวันนั้นที่เดินทางไปทางโชว์รูมรถมีโปรโมชั่นพิเศษคือซื้อรถป้ายแดงฟรีเงินดาวน์

และยังมีให้จับคูปองหากเป็นผู้โชคดี จะได้รถป้ายแดงฟรีอีกคัน ซึ่งวันนั้น น้องต่ายกับนายเจ จับได้รถฟรีอีกครั้งทั้งคู่จึงตกลงกันว่ารถป้ายแดงที่ได้มาฟรีจะขายคืนให้กับศูนย์รถยนต์แล้วเปลี่ยนเป็นเงินแทนซึ่งในวันนั้นได้เงินมาประมาณล้านกว่าบาท และก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ยิงน้องต่ายขึ้น ทางด้านนายเจ ได้มีการโพสต์ขอ้ความว่าเมียหาย

ทำให้คนที่เข้ามาเห็นเฟสของนายเจ นำเรื่องราวมาประติดประต่อกันเองว่า น้องต่ายหลอกเอาเงินนายเจ แล้วหนีไป ซึ่งทำให้นายเจ โกรธจนต้องไปลงมือฆ่าถึงที่ทำงานดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้ทางพี่สาวของน้องต่ายออกมาเล่าให้นักข่าวฟังว่าเงินหนึ่งล้านกว่าบาทที่ได้มานั้น นายเจเป็นคนเอาไปใช้ทั้งหมดมีแบ่งซื้อทองให้น้องต่ายนิดหน่อยเท่านั้นส่วนเงินที่เหลือนายเจได้นำไปจ่ายหนี้บัตรเครดิตและผ่อนงวดรถ ซึ่งน้องต่ายได้ขอเงินเพื่อไปซื้อมือถือให้ลูกแต่นายเจ

ก็ไม่ยอมทำให้น้องต่ายเริ่มตีตัวออกห่างเพราะเห็นแล้วว่านายเจเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ยอมแบ่งเงินแม้จะนำมาซื้อของให้ลูกและยังมีการตบตีน้องต่ายอยู่เป็นประจำ ทำให้น้องต่ายต้องขอเลิกกับนายเจและเป็นเหตุผลที่นายเจ ตามง้อขอคืนดีแล้วน้องต่ายไม่ยอมคืนดีด้วยและเป็นสาเหตุให้นายเจก่อเหตุยิงน้องต่าย

ข่าวเด็ก 14 ไลฟ์สดทำร้ายเด็กอายุหนึ่งขวบ

เด็ก 14 ไลฟ์สดทำร้ายเด็กอายุหนึ่งขวบพร้อมขู่จะฆ่าหากแม่เด็กไม่มาเอาลูกคืน

ในโลกออนไลน์ได้มีการส่งต่อคลิปที่มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังทำร้ายเด็กชายตัวน้อยซึ่งคาดว่าอายุน่าจะประมาณเพียงแค่ 1 ขวบเท่านั้นซึ่งภาพจากในคลิปจะเห็นว่าเด็กชายคนดังกล่าวมีการด่าทอเด็กและใช้เท้าถีบเด็กที่กำลังนั่งร้องไห้และยังใช้มือพบหน้าเด็กอีกหลายครั้งจนเด็กล้มกลิ้งอยู่ใกล้ใกล้

ซึ่งภายในคลิปเด็กชายคนดังกล่าวยังได้พูดข่มขู่คนเป็นแม่ของเด็กว่าให้มารับเด็กภายใน 2 วันไม่เช่นนั้นจะฆ่าเด็กคนนี้ให้ตาย ซึ่งมีคนที่เห็นการไลฟ์สดในครั้งนี้ได้ทำการอัดคลิปเอาไว้แล้วส่งให้มูลนิธิปวีณาเพื่อให้เข้าไปช่วยเหลือเด็กคนดังกล่าว พร้อมกันนี้คนในโซเชียลต่างการแช่คลิปดังกล่าวเพื่อให้คนที่อาจจะรู้จักคนในคลิปช่วยกันบอกที่อยู่ตามในคลิปเพื่อที่จะได้ไปช่วยเหลือเด็กชายไว้ได้

ซึ่งจากความร่วมมือของคนในโลกโซเชียลผลปรากฎว่าสามารถหาที่อยู่ของคนที่ทำร้ายเด็กน้อยวัยหนึ่งขวบได้แล้ว ซึ่งเมื่อไปพบจึงได้รู้ว่าชายคนที่โพสต์ทำร้ายเด็กโชว์ในเฟสบุ๊กนั้นอายุเพียงแค่ 14 ขวบเท่านั้นเองซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับตัวเด็กวัยรุ่นอายุ 14 ปีไปเพื่อแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายโดยจะมีการส่งต่อไปที่ศูนย์เยาวชน และทางคุณปวีณาเองก็ได้รับตัวเด็กอายุหนึ่งขวบไปที่มูลนิธิพร้อมทั้งประสานงานไปที่แม่ของเด็กให้มารับตัวลูก จากการสอบถามเด็กวัย 14 ปีว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น

ก็ได้ความว่าเขารู้สึกโมโหแม่ของเด็กที่เอาลูกมาทิ้งไว้แล้วไม่กลับมาดูแลลูกเลย ซึ่งตัวเขาเองไม่อยากจะเลี้ยงเด็กอายุหนึ่งขวบคนนี้ทำให้เขาโมโหจนต้องทำร้ายเด็กเพื่อโชว์ให้แม่เด็กเห็นเพื่อที่แม่เด็กจะได้รีบมารับลูกไปเลี้ยงเอง  ซึ่งในตอนนี้แม่เด็กหนึ่งขวบได้มารับลูกไปเลี้ยงเองแล้วส่วนเด็กวัย 14 ปีที่โพสต์คลิปทำร้ายเด็กน้อยก็ถูกจับกุม

ตามรายงานข่าวไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ที่เด็กชายวัย 14 ปีทำร้ายหลานของตนเองในผู้ใหญ่ทีอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันจะรู้เรื่องด้วยหรือไม่ ซึงคาดว่าอาจตะมีการรู้เห็นในการทำร้ายร่างกายเด็กในครั้งนี้เพราะว่าตอนที่เด็กถูกทำร้ายเด็กร้องไห้เสียงดังมากซึ่งหากคนในบ้านไม่สนับสนุนให้เด็กอายุ 14ปีทำก็ต้องมีเข้ามาช่วยเหลือเด็กหนึ่งขวบบ้างแล้วแต่ในคลิปจะเห็นได้ว่าไม่มีใครที่เข้ามาช่วยเด็กน้อยเลย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะต้องมีการสืบสวนต่อไป 

ข่าวไฟไหม้ที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

ข่าวไฟไหม้ที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงตอนนี้ไฟสงบแล้ว

   จากที่มีข่าวไฟไหม้ที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงนั้น ทางเจ้าหน้าที่อุทยานได้ออกมาบอกว่าตอนนี้สามารถควบคุมเพลงไว้ได้แล้ว และดับไฟจนไฟสงบแล้วซึ่งการดังไฟไหม้ป่าในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานถึง 18 ชั่วโมงในการช่วยกันดับไฟซึ่งเมื่อคำนวณพื้นที่ที่เสียหายจากเหตุไฟไหม้ในครั้งนี้พบว่า ไฟได้ไหม้และสร้างความเสียหายให้กับอุทยานถึง 3400 ไร่เลยทีเดียว แต่ก็ถือได้ว่าเหตุไฟไหม้ในครั้งนี้ยังสร้างความเสียหายน้อยกว่าตอนที่มีไฟไหม้เมื่อปี พ.ศ. 2556 และในปี พ.ศ. 2559 แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าการดับไฟนั้นค่อนข้างดับลำบากในบางจุดเพราะบางครั้งไฟก็อยู่ใกล้ใกล้หน้าผาทำให้เข้าไปทำงานลำบาก

บางครั้งวิธีการดับไฟก็ต้องใช้วิธีจุดไฟให้ไฟลุกไหม้ให้แรงแรงเพื่อที่จะได้ไหม้ป่าตรงจุดนั้นให้หมดเร็วเร็วแล้วไฟก็จะมอดไปเองซึ่งวิธีการนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็จะต้องคอยควบคุมไม่ให้ไฟลามไปติดตรงจุดอื่นได้อีก โดยการเผาไหม้ของไฟในครั้งนี้นอกจากต้นไม้จะถูกทำลายไปเยอะแล้วสัตว์ป่าก็ยังได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก

เพราะที่นี่เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าหลายร้อยหลายพันตัว โดยทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าโชคดีมากที่ไฟที่ไหม้ในครั้งนี้ยังลามไปไม่ถึงจุดที่นักท่องเที่ยวพักกันอยู่ ซึ่งเมื่อมีการดับไฟได้แล้วทางเจ้าหน้าที่มีการคาดเดาสาเหตุของการเกิดไปไหม้ป่าในครั้งนี้น่าจะมาจากชาวบ้านที่เข้ามาหาของป่าแล้วอาจจะมีการจุดไฟ

ซึ่งเหตุการณ์ก่อนก่อนมักจะพบว่านักท่องเที่ยวทิ้งก้นบุหรี่แล้วทำให้เกิดการลุกลามของไฟแต่ครั้งนี้ไม่พบต้นเหตุของเพลิงจึงคาดว่าน่าจะเป็นการจุดไฟขึ้นมาของชาวบ้าน จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ป่าที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงในครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนในการเข้าไปช่วยกันดับไฟ ซึ่งต้องทำงานกันทั้งกลางวันและกลางคืน จนในที่สุดก็สามารถดับไฟไว้ได้สำเร็จแต่ก็ยังมีบางจุดที่ยังมีควันไฟลอยบ้างนิดหน่อย โดยทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีการเฝ้าคอยระวังเป็นพิเศษเพื่อป้องกันไฟกลับมาลุกไหม้ได้อีก

ทางด้านคนงานที่มีอาชีพเป็นลูกหาบก็ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ตอนเองรู้สึกตกใจมากตอนที่รู้เรื่องว่าไฟไหม้ป่า เพราะตอนที่รู้เรื่องนั้นไฟได้ใกล้เข้ามาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางมากแล้วและตนเองทำงานที่นี่มานานมากว่า สามปีไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนครั้งนี้เป็นครั้งแรก จึงอยากวอนให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวให้ระวังปัญหาไฟไหม้ป่าด้วย

เหตุการณ์ยิงกราดในเมืองโคราช

ณ ตอนนี้คงจะไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่า เหตุกราดยิงที่วัวราชเปลี่ยนเป็นเรื่องราวความร้ายแรงอีกรอบหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ด้วยลำดับเรื่องราวที่ทั้งยังตื่นเต้นรวมทั้งเชิญชวนให้สลดใจจากการสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่ กรณีนี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าของประวัติศาสตร์ที่ควรจะบันทึกไว้ เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับในการปฏิบัติงานของภาคส่วนต่างๆและเป็นบทเรียนให้สังคมได้ขบคิดกันต่อ ถึงทางคุ้มครองป้องกันไม่ให้โชคร้ายแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำสอง

ท่ามกลางกระแสข่าวจากสื่อต่างๆสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตเป็น “แฮชแท็ก” ที่ชาวเน็ตช่วยเหลือกันตั้งขึ้น เพื่อประกอบฉากต่างๆที่เกิดขึ้นในเรื่องกราดยิงคราวนี้ นอกเหนือจากการให้ความเห็น ติชมเรื่องแล้ว แฮชแท็กพวกนี้ยังปฏิบัติหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนประเด็นเล็กๆจำนวนมาก ที่เกิดจากเหตุกราดยิง และก็บางทีอาจเป็นบันทึกรูปแบบใหม่ ที่พวกเราบางครั้งก็อาจจะกลับมาอ่านทวนได้ทุกครั้ง และก็นี่เป็น 5 แฮชแท็กที่สะท้อนเรื่องราวในเหตุกราดยิงที่วัวราช

PrayForKorat และ SaveKorat

สองแฮชแท็กสำคัญที่เกิดขึ้นโดยทันทีภายหลังมีการเสนอข่าวสารกราดยิงที่วัวราช เป็นการแสดงถึงความห่วงลูกพี่ลูกน้องชาววัวราช จากผู้อื่นที่อยู่นอกพื้นที่ นับเป็นสิ่งที่น่าประทับใจในโลกยุคสมัยใหม่ ที่ผู้คนสามารถแสดงความประสงค์ดีเพื่อนมนุษย์ได้จากทุกมุมโลก ลักษณะของแฮชแท็กที่ภาวนาให้บุคคลหรือคนภายในพื้นที่ปลอดภัย เกิดมาแล้วก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็น SaveAmazon ในเรื่องไฟลุกป่าแอมะชอน SaveAustralia ในเรื่องไฟป่าครั้งใหญ่ของประเทศออสเตรเลีย SaveHakeem จากในกรณีที่รัฐบาลไทยจับตัวนายฮาคีม อัล อาไรบี นักเตะผู้หนีภัยชาวบาห์เรน หรือ PrayForWuhan ในกรณีวัวโรที่นาเชื้อไวรัสที่เป็นภัยรุกรามราษฎรในเมืองอู่ฮั่น ฯลฯ

สื่อไร้จรรยาบรรณ

เหตุกราดยิงที่วัวราชเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่แสดงภาพการทำงานและก็ระดับศีลธรรมของสื่อมวลชนได้อย่างชัดเจน เนื่องจากเวลาที่สื่อทั่วฟ้าประเทศไทยกำลังมีความสนใจสถานะการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้น สื่อบางสำนักกลับก้าวล้ำเส้นจรรยาบรรณ กระทั่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดเสียงติชมในโลกอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์คนที่ติดอยู่ข้างในห้าง พร้อมบอกจุดที่หลบซ่อนอย่างสมบูรณ์ กระทั่งมีโอกาสเสี่ยงต่อความปลอดภัยของคนที่หลบซ่อนอยู่ การถ่ายทอดสดดำเนินการของข้าราชการ รวมทั้งการสัมภาษณ์เครือญาติผู้ตายอย่างไม่เหมาะสม ก่อนที่จะสโมสรผู้สื่อข่าวคนเขียนข่าวที่เมืองไทยจะออกคำอธิบายให้สื่อเสนอข่าวสารอย่างถี่ถ้วน แล้วก็ร่วมมือกับข้าราชการ และก็ตามด้วย กสทช. ที่ห้ามสื่อถ่ายทอดสดการกระทำงานของข้าราชการ เพื่อให้มีความปลอดภัยของราษฎร

ทีมแป๊ะ

ในปฏิบัติงานช่วยเหลือตัวประกันคราวนี้ หนึ่งในบุคคลที่สังคมไทยชื่นชอบก็เห็นจะหนีไม่พ้น พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา หรือ “บิ๊กแป๊ะ” ผู้บังคับบัญชาตำรวจแห่งชาติ ที่ควงลูกชายคนโตเป็น “ผู้กองฮัท” ร้อยตำรวจเอกชานันท์ ชัยจินดา ลงพื้นที่ร่วมทำการตั้งแต่คืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ รวมทั้งกลับออกมาภายหลังที่ฆาตกรถูกวิสามัญฆาตกรรมในยามเช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ซึ่งกระแสยกย่องแนวทางการทำงานของบิ๊กแป๊ะก็ดูเหมือนจะกลบกระแสข่าวประเด็นการแต่งลูกชายตนเองเป็นสารวัตร แม้ว่าจะมีคุณลักษณะไม่ครบก็ตาม