ชาวบ้านชวนกันฆ่าตัวตาย เพราะเครียดจากพิษโควิด-19

             อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าตอนนี้ประชาชนทุกคนต่างก็ได้รับความเดือดร้อนกันเป็นจำนวนมากเพราะหลายคนมีอาชีพค้าขายก็ไม่สามารถออกไปขายของได้เพราะสถานการณ์โควิด-19 

ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นการร้องเรียนมาที่สำนักงานขาวเลยชาวบ้านคนหนึ่งที่จังหวัดชลบุรีซึ่งเมื่อนักข่าวลงไปในพื้นที่เกี่ยวกับครอบครัวที่มีการร้องเรียนเข้ามา เมื่อไปถึงบ้านของคนที่ร้องเรียนและข่าวก็เห็นสภาพของบ้านของคนดังกล่าวว่าอยู่อาศัยด้วยการทำเพลิงอยู่มีสังกะสีเก่าๆและมีผ้าใบกั้นซึ่งบ้านหลังดังกล่าวมีกันอยู่ 3 คนซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งหมดโดยมีคนชราอยู่ 1 คน เมื่อนักข่าวได้สอบถามคนที่ร้องเรียนชื่อว่าคุณนวลศรีว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเธอก็ให้ข้อมูลกับนักข่าวว่าเธอต้องการความช่วยเหลือเนื่องจากว่าครอบครัวของเธอมีฐานะยากจน

โดยปกติแล้วเธอมีอาชีพขายส้มตำและไส้กรอกซึ่งเธอจะมีรถพ่วงข้างนำไปขายที่ตลาดอยู่เป็นประจำทุกวันโดยเธอจะมีเงินหมุนเวียนอยู่ที่ 4,000 บาทโดยเงินจำนวนดังกล่าวนี้เธอก็ไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาแต่หลังจากที่มีปัญหาเรื่องของไวรัส โควิด-19 ทำให้เธอไม่สามารถออกไปขายของได้ดังนั้นเธอจึงต้องอยู่บ้านและของที่เคยซื้อมาเพื่อจะนำไปทำส้มตำขายนั้นเธอก็เอามาทำกับข้าวกินบางอย่างก็เสียเน่าเปื่อยทิ้งก็ทิ้งไปตอนนี้ตัวเธอเองและพี่สาวไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท

ซึ่งในขณะที่นักข่าวสัมภาษณ์เธอก็ได้มีการเปิดหม้อข้าวให้นักข่าวดูว่าข้าวสารเธอไม่มีแล้วหม้อหุงข้าวของเธอก็ไม่มีข้าวสวยอยู่เลย ซึ่งเธอบอกว่าตอนนี้ชีวิตของเธอลำบากมาก ตอนนี้เจ้าหนี้นอกระบบมากวนทวงเงินเธอกับพี่สาวทุกวัน ซึ่งเธอบอกว่าเธอกับพี่สาวร้องไห้กันทุกวันเธอคิดมากไม่รู้จะหาเงินไปจากไหนไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไร

เพราะไม่มีต้นทุนในการทำธุรกิจอีกแล้วซึ่งเธอกับพี่สาวยังคุยกันว่าจะชวนกันไปผูกคอตายแถวๆบ้านนี่แหละ

แต่เนื่องจากว่าพี่สาวของเธอไม่กล้าที่จะผูกคอตายแต่อยากไปโดดน้ำตายที่แม่น้ำบางปะกงแต่ก็ไปไม่ได้เพราะว่าไม่มีเงินค่ารถและอีกอย่างพวกเธอก็คิดได้ว่าหากว่าเธอตายไปแล้วแม่ที่ชราภาพของเธอจะอยู่ยังไงจะมีใครดูแลดังนั้นพวกเธอเลยไม่สามารถฆ่าตัวตายได้

แต่พวกเธอก็เริ่มดีใจขึ้นว่าเริ่มมีข่าวว่ามีคนเริ่มให้การช่วยเหลือคนที่มีฐานะยากจนเธอไม่รู้จะทำยังไงก็เลยส่งข้อมูลร้องเรียนมาถึงนักข่าวว่าให้เข้ามาช่วยเหลือเธอหน่อยเธอต้องการที่อยู่อาศัยที่สามารถเปิดร้านขายของที่หน้าบ้านได้เธอจะได้ประกอบอาชีพเป็นของตนเองและมีรายได้มาช่วยเหลือตัวเองว่าตอนนี้บ้านที่อยู่อาศัยของเธอมันเป็นแค่ชุมชนแออัดทุกคนต่างก็ได้รับผลกระทบกันทั้งนั้นจึงไม่มีใครที่จะสามารถมีเงินมาซื้อของได้

ไอหนักเพราะเป็นภูมิแพ้ บริษัทกลัวเป็นโควิด -19 สั่งไล่ออกจากงาน

 มีผู้ชายคนหนึ่งได้ร้องเรียนไปทางเพจสายสืบ ออนไลน์โดยเขาได้เล่าเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเขารวมถึงระบายความในใจให้กับทางเพจฟังโดยสิ่งที่สร้างความสะเทือนใจให้กับตัวเขาเองและคนที่ได้ฟังเรื่องราวของเขาก็คือชายหนุ่มคนนี้เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ทำงานหาเลี้ยงลูกคนเดียว

โดยเขาทำงานเป็นลูกจ้างอิสระให้กับทางบริษัทแต่ปัญหาที่เข้าพบหลังจากที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Corona ก็คือผู้คนต่างพากันหวาดกลัวเชื้อไวรัสโคโรน่าและบางคนก็ถึงกับหลอนว่าหากใครมีอาการป่วยไข้นิดหน่อยก็อาจจะมีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ซึ่งเขาก็หนึ่งในนั้นที่เพื่อนๆต่างพากันสงสัยว่าเขาน่าจะมีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าหรือไม่เนื่องจากว่าเขามีอาการไออย่างหนักขณะที่ทำงานอยู่แต่ที่จริงแล้วสาเหตุที่เขาอายนั้นเพียงเพราะว่าเขาเป็นโรคภูมิแพ้

และที่ทำงานก็มีฝุ่นเยอะแต่เพื่อความสบายใจของเพื่อนร่วมงานและทางบริษัทเขาลงทุนไปตรวจที่โรงพยาบาลโดยนำผลตรวจมาให้ทางบริษัทดู  ซึ่งผลตรวจก็ระบุออกมาแล้วว่าตัวเขาเองนั้นสวยแค่เพียงเป็นโรคหลอดลมอักเสบเท่านั้นและยังทำการเช็คปอดซึ่งก่อนของเขาก็ยังปกติดีอยู่และเพื่อความสบายใจของเพื่อนร่วมงานและทางบริษัทเขายอมเสียเงินถึง 8200 บาทเพื่อทำการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรน่าในร่างกายและผลสรุปออกมาว่า

เขาไม่มีเชื้อดังกล่าวแต่เมื่อเขาเอกสารทั้งสองอย่างนี้ไปยืนยันกับทางบริษัททางบริษัทก็ยังมีการไล่ออกจากงานอยู่ดีทำให้ตอนนี้ตัวเขาเองรู้สึกเคว้งคว้างมากเพราะเขาต้องหาเงินเลี้ยงลูกอยู่คนเดียวดังนั้นถ้าเขาไม่มีงานเขาก็จะไม่มีเงินนะมาเลี้ยงครอบครัว ในตอนนี้ใช้คนดังกล่าวได้มีการทิ้งท้ายเอาไว้ว่าเขาลำบากมากในตอนนี้เพราะเขาคือคนเดียวที่หาเงินเลี้ยงลูกอยู่แล้วถ้าเกิดสถานการณ์ยังเลวร้ายอยู่แบบนี้เขาก็ไม่สามารถที่จะไปหางานทำที่ไหนได้เพราะว่าบริษัทส่วนใหญ่ก็ปิดทำการกันหมดแล้วแล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงครอบครัวเราเลี้ยงลูกของเขา 

      จากข่าวนี้ทำให้เห็นว่าประชาชนเริ่มมีการหวาดระแวงและหวาดกลัวกันเองถึงแม้จะมีเอกสารทางการแพทย์มายืนยันว่าไม่ได้ติดเชื้อแต่หลายคนก็ไม่อยากอยู่ร่วมกับคนที่มีอาการไออย่างหนักซึ่งตรงนี้ทำให้คนที่มีภาระหน้าที่ที่ต้องหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากดั่งเช่นที่ชายคนนี้เจออันที่จริงทางบริษัทควรจะมีการแยกแยะมากกว่านี้

หรือถ้าหากพนักงานในบริษัทต่างพากันหวาดกลัวผู้ชายคนดังกล่าวจะมีการติดเชื้อก็ควรจะให้เขาทำงานแยกออกมายังไม่ควรที่จะให้เขาออกจากงานเพราะเขาเองก็มีการไปตรวจแล้วว่าเขาไม่ได้ติดเชื้อไวรัสแต่เมื่อทางบริษัทสรุปแบบนี้ออกมามันก็สร้างผลกระทบให้กับเขาอย่างมากมายทีเดียว 

ร้านนวดย่านข้าวสารสนองนโยบายรัฐเตรียมปิดร้าน 14 วัน

ร้านนวดย่านข้าวสารสนองนโยบายรัฐเตรียมปิดร้าน 14 วันแต่ร้านอาหารที่ อาร์ซีเอ ยืนยันจะเปิด

       จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าตอนนี้พบผู้ติดเชื้อทั้งหมด 177 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 1 ราย รวมถึงตอนนี้มีกลุ่มคนต้องเฝ้าระวังว่ามีเกณฑ์ที่จะติดเชื้อไวรัสโคโรนามากถึง 7045 ราย แต่ในขณะเดียวกันวันนี้คือวันที่ 17 เดือนมีนาคม พ.ศ 2563 กลับพบว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่ามากถึง 30 คนด้วยกันภายในวันเดียวเท่านั้นเอง ใน 30 คนนี้มาจากผู้ที่ติดเชื้อมาจากสนามมวยและติดเชื้อมาจากสถานบันเทิงรวมถึงชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศอิตาลี

และคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศแถมยังมีคนขับรถแท็กซี่ที่ได้รับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศขึ้นรถมา ซึ่งหลังจากที่จำนวนพูดติดเชื้อมีปริมาณมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนายกรัฐมนตรีจึงได้ออกมาแถลงการณ์ กับมาตรการป้องกัน การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาโดยมาตรการนี้จะมีการป้องกันทั้งทางด้านทางอากาศ ทางบกและทางน้ำโดยจะเข้มงวดเรื่องการตรวจคนเข้าเมืองซึ่งใครจะเข้ามาในประเทศไทยจะต้องมีหลักฐานการแสดงตัวว่ามีการไปตรวจมาแล้วว่าไม่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า

รวมถึงจะต้องมีใบรับรองแพทย์และใบประกันชีวิต จึงจะสามารถเดินทางเข้าประเทศได้และอีกประการหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีได้ออกมาแถลงการณ์ก็คือจะมีการหยุดจัดกิจกรรมวันสงกรานต์ โดยจะไปชดเชยการจัดงานสงกรานต์วันหลังและประกาศปิดสถานที่คิดว่ามีการเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19โดยจะให้ปิดทำการทั้งหมด 14 วัน  โดยจะเริ่มให้ปิดตั้งแต่วันที่ 28 ถึง 31 เดือนมีนาคมที่จะถึงนี้นอกจากจะเป็นสถานบันเทิงแล้วโรงภาพยนตร์ฟิตเนสหรือแม้แต่ร้านอาบอบนวดก็ต้องปิดด้วยเช่นเดียวกัน

และหลังจากการแถลงการณ์สภลงผลปรากฏว่าร้านค้าส่วนใหญ่ให้ผลตอบรับดีที่จะทำการปิดบริการชั่วคราวอย่างเช่นร้านนวดในถนนข้าวสารก็ตอบรับนโยบายเพราะว่าโดยปกติแล้วตอนนี้นักท่องเที่ยวก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้วลดลงไปมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ดังนั้นเพื่อเป็นการกำจัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสให้ได้ผลดีที่สุดทางร้านในถนนข้าวสารจึงร่วมใจกันที่จะปิดบริการตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคมเป็นต้นไปและจะเปิดทำการอีกทีในวันที่ 31 มีนาคม

ที่จะถึงนี้แต่นโยบายนี้ก็ยังมีบางสถานที่ที่ไม่ยอมรับการปิดสถานบริการอย่างเช่นร้านอาหารแถวบริเวณ RCA ได้ออกมาบอกว่าจะยังคงมีการเปิดบริการตามปกติ เพราะทุกคนยังต้องกินต้องใช้ถ้าปิดกิจการไปแล้วก็ไม่มีเงินมาเป็นค่าใช้จ่าย แต่สำหรับร้านเหล้าผับบาร์มีการปิดไปแล้วก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะแถลงการณ์ เนื่องจากว่าไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวเลย 

เครื่องเสียงเป็นเหตุ เปิดเสียงดังโดนยิงดับ

เหตุการณ์นี้เป็นเหตุสลดใจ เมื่อวัยรุ่นมีเรื่องกันและอีกฝั่งหนึ่งใช้ปืนลูกซองยิงเข้าหาอีกฝั่ง

ซึ่งลักษณะของปืนลูกซองกระสุนจะออกมาแบบกระจายซึ่งมือปืนได้รัวยิงไปหลายนัดทำให้อีกฝั่งคนที่ยืนอยู่หน้าสุดได้รับกระสุนไปเต็มเต็มทั้งตัวเลยซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้มีผลทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 1 คนและบาดเจ็บอีกจำนวน 3 คน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นที่ชลบุรี

โดยเหตุการณ์เลวร้ายนี้เกิดขึ้นบริเวณอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชโรธรณ์อยู่ที่อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี ส่วนผู้เคราะห์ชื่อว่านายกิติชัย ซึ่งนายกิติชัยอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้นได้โดนกระสุนปืนลูกซองยิงตั้งแต่หน้าอกและลามไปจนถึงลำคอเพราะกระสุนที่ยิงออกมา ยิงมาเป็นห่ากระสุนเลย มีสะเด็กกระสุนเต็มไปหมดซึ่งนับรวมสะเก็ดกระสุนที่ฝั่งอยู่ในร่างกายของนายกิติชัยนับแล้วไม่ต่ำกว่า 40 รู ซึ่งหลังจากที่นายกิติชัยโดนกระสุนปืนแล้วเพื่อนเพื่อนต่างก็รีบพากันนำร่างของนายกิติชัยรีบนำส่งโรงพยาบาล

แต่ยังไปไม่ทันถึงโรงพยาบาลนายกิติชัยก็มาเสียชีวิตเสียก่อน และนอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 3 คนคือ นายราชพัน อายุ 26 ปี , นายณัฐวุธ อายุ 24 ปีและนายสมคิดอายุ 45 ปี เรื่องของเรื่องที่ต้องมายิงกันในทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนแล้วพบว่าในวันดังกล่าวที่เกาะจันทร์ที่เป็นสถานที่เกิดเหตุได้มีการจัดการแข่งขันประชันเครื่องเสียงรถยนต์กัน

ซึ่งนอกจากจะประชันเสียงเครื่องเสียงรถยนต์กันแล้วยังมีการเปิดเพลงข่มกันไปข่มกันมา จนเป็นสาเหตุให้มีเรื่องทะเลาะวิวาทและชกต่อยกัน  และเมื่อชกต่อยกันได้สักพัก ฝ่ายที่ก่อเหตุเพลี่ยงพล้ำสู้ไม่ได้จึงได้พากันวิ่งหนี

และเมื่อวิ่งหนีไปแล้วก็ไปเอาอาวุธปืนมา พอมีปืนอยู่ในมือก็เริ่มไม่เกรงกลัวใครจึงได้ยิงปืนออกมาใส่กลุ่มคู่อริหลายนัด ซึ่งกระสุนที่ยิงเข้ามาโดนกลุ่มคู่อริหลายคนแต่โดนนายกิติชัยหนักมากที่สุดจนเป็นเหตุทำให้นายกิติชัยเสียชีวิตในเวลาต่อมา

 ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นอกจากจะมีปัญหาในเรื่องของการแข่งขันกันเปิดเพลงเสียงดังจนเกิดความไม่พอใจกันแล้วยังเกิดจากทั้งสองกลุ่มได้ดื่มสุราเข้าไปจึงทำให้ไม่มีความยับยั้งช่างใจ และมีความฮึกเหิมเพราะแต่ละกลุ่มก็คิดว่าตัวเองมีพวกเยอะกว่ากัน ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบว่ามือปืนเป็นใครและอยู่ระหว่างการจับกุมมาดำเนินคดี

พี่สาวแจง น้องไม่ไม่ฮุบเงินล้าน นายเจมาใช้จนนายเจต้องก่อเหตุฆาตกรรม

เกี่ยวกับข่าวคดีอดีตสามีบุกเข้าไปยิงอดีตภรรยาเสียชีวิตที่ห้างเซนจูรี ตรงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจนเสียชีวิต และในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จับตัวคนร้ายที่เป็นอดีตสามี ที่ลงมือก่อเหตุได้แล้ว แต่ว่าเรื่องราวยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะว่าชาวสังคมโซเชียลต่างพากันพยายามค้นหาสาเหตุว่าทำไมชายคนดังกล่าวจะต้องนำปืนมายิงอดีตภรรยาของตัวเองด้วย

เพราะได้หย่าขาดจากกันแล้วและที่สำคัญต่างฝ่ายต่างก็มีคนใหม่แล้ว ซึ่งมีหลายคนไปโพสต์ข้อความเหมือนกับว่าที่ฝ่ายชายคือ นายเจ ต้องมาสังหาร อดีตภรรยาก็คือ น้องต่าย

นั่นก็เพราะว่าก่อนหน้านี้น้องต่ายไปเอาเงินของนายเจ มาเพื่อมาทำศัลยกรรม แล้วเมื่อได้เงินน้องต่ายก็ทิ้งนายเจ ทำให้เจโกรธแค้นจนต้องไปยิงน้องต่าย จนเสียชีวิต บ้างก็บอกว่าน้องต่ายเอาเงินไปซื้อรถป้ายแดง

ซึ่งเงินนั้นเป็นเงินของนาย เจ และเมื่อได้รถแล้วน้องต่ายก็ทิ้งนายเจ  ซึ่งทางญาติของน้องต่ายได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับ เรื่องนี้ว่าน้องต่ายไปซื้อรถยนต์ป้ายแดงมาจริงแต่ก็ไปกับนายเจ โดยทั้งคู่รวมเงินกันไปเพื่อจะไปออกรถใหม่ แต่ในวันนั้นที่เดินทางไปทางโชว์รูมรถมีโปรโมชั่นพิเศษคือซื้อรถป้ายแดงฟรีเงินดาวน์

และยังมีให้จับคูปองหากเป็นผู้โชคดี จะได้รถป้ายแดงฟรีอีกคัน ซึ่งวันนั้น น้องต่ายกับนายเจ จับได้รถฟรีอีกครั้งทั้งคู่จึงตกลงกันว่ารถป้ายแดงที่ได้มาฟรีจะขายคืนให้กับศูนย์รถยนต์แล้วเปลี่ยนเป็นเงินแทนซึ่งในวันนั้นได้เงินมาประมาณล้านกว่าบาท และก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ยิงน้องต่ายขึ้น ทางด้านนายเจ ได้มีการโพสต์ขอ้ความว่าเมียหาย

ทำให้คนที่เข้ามาเห็นเฟสของนายเจ นำเรื่องราวมาประติดประต่อกันเองว่า น้องต่ายหลอกเอาเงินนายเจ แล้วหนีไป ซึ่งทำให้นายเจ โกรธจนต้องไปลงมือฆ่าถึงที่ทำงานดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้ทางพี่สาวของน้องต่ายออกมาเล่าให้นักข่าวฟังว่าเงินหนึ่งล้านกว่าบาทที่ได้มานั้น นายเจเป็นคนเอาไปใช้ทั้งหมดมีแบ่งซื้อทองให้น้องต่ายนิดหน่อยเท่านั้นส่วนเงินที่เหลือนายเจได้นำไปจ่ายหนี้บัตรเครดิตและผ่อนงวดรถ ซึ่งน้องต่ายได้ขอเงินเพื่อไปซื้อมือถือให้ลูกแต่นายเจ

ก็ไม่ยอมทำให้น้องต่ายเริ่มตีตัวออกห่างเพราะเห็นแล้วว่านายเจเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ยอมแบ่งเงินแม้จะนำมาซื้อของให้ลูกและยังมีการตบตีน้องต่ายอยู่เป็นประจำ ทำให้น้องต่ายต้องขอเลิกกับนายเจและเป็นเหตุผลที่นายเจ ตามง้อขอคืนดีแล้วน้องต่ายไม่ยอมคืนดีด้วยและเป็นสาเหตุให้นายเจก่อเหตุยิงน้องต่าย

ข่าวเด็ก 14 ไลฟ์สดทำร้ายเด็กอายุหนึ่งขวบ

เด็ก 14 ไลฟ์สดทำร้ายเด็กอายุหนึ่งขวบพร้อมขู่จะฆ่าหากแม่เด็กไม่มาเอาลูกคืน

ในโลกออนไลน์ได้มีการส่งต่อคลิปที่มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังทำร้ายเด็กชายตัวน้อยซึ่งคาดว่าอายุน่าจะประมาณเพียงแค่ 1 ขวบเท่านั้นซึ่งภาพจากในคลิปจะเห็นว่าเด็กชายคนดังกล่าวมีการด่าทอเด็กและใช้เท้าถีบเด็กที่กำลังนั่งร้องไห้และยังใช้มือพบหน้าเด็กอีกหลายครั้งจนเด็กล้มกลิ้งอยู่ใกล้ใกล้

ซึ่งภายในคลิปเด็กชายคนดังกล่าวยังได้พูดข่มขู่คนเป็นแม่ของเด็กว่าให้มารับเด็กภายใน 2 วันไม่เช่นนั้นจะฆ่าเด็กคนนี้ให้ตาย ซึ่งมีคนที่เห็นการไลฟ์สดในครั้งนี้ได้ทำการอัดคลิปเอาไว้แล้วส่งให้มูลนิธิปวีณาเพื่อให้เข้าไปช่วยเหลือเด็กคนดังกล่าว พร้อมกันนี้คนในโซเชียลต่างการแช่คลิปดังกล่าวเพื่อให้คนที่อาจจะรู้จักคนในคลิปช่วยกันบอกที่อยู่ตามในคลิปเพื่อที่จะได้ไปช่วยเหลือเด็กชายไว้ได้

ซึ่งจากความร่วมมือของคนในโลกโซเชียลผลปรากฎว่าสามารถหาที่อยู่ของคนที่ทำร้ายเด็กน้อยวัยหนึ่งขวบได้แล้ว ซึ่งเมื่อไปพบจึงได้รู้ว่าชายคนที่โพสต์ทำร้ายเด็กโชว์ในเฟสบุ๊กนั้นอายุเพียงแค่ 14 ขวบเท่านั้นเองซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับตัวเด็กวัยรุ่นอายุ 14 ปีไปเพื่อแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายโดยจะมีการส่งต่อไปที่ศูนย์เยาวชน และทางคุณปวีณาเองก็ได้รับตัวเด็กอายุหนึ่งขวบไปที่มูลนิธิพร้อมทั้งประสานงานไปที่แม่ของเด็กให้มารับตัวลูก จากการสอบถามเด็กวัย 14 ปีว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น

ก็ได้ความว่าเขารู้สึกโมโหแม่ของเด็กที่เอาลูกมาทิ้งไว้แล้วไม่กลับมาดูแลลูกเลย ซึ่งตัวเขาเองไม่อยากจะเลี้ยงเด็กอายุหนึ่งขวบคนนี้ทำให้เขาโมโหจนต้องทำร้ายเด็กเพื่อโชว์ให้แม่เด็กเห็นเพื่อที่แม่เด็กจะได้รีบมารับลูกไปเลี้ยงเอง  ซึ่งในตอนนี้แม่เด็กหนึ่งขวบได้มารับลูกไปเลี้ยงเองแล้วส่วนเด็กวัย 14 ปีที่โพสต์คลิปทำร้ายเด็กน้อยก็ถูกจับกุม

ตามรายงานข่าวไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ที่เด็กชายวัย 14 ปีทำร้ายหลานของตนเองในผู้ใหญ่ทีอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันจะรู้เรื่องด้วยหรือไม่ ซึงคาดว่าอาจตะมีการรู้เห็นในการทำร้ายร่างกายเด็กในครั้งนี้เพราะว่าตอนที่เด็กถูกทำร้ายเด็กร้องไห้เสียงดังมากซึ่งหากคนในบ้านไม่สนับสนุนให้เด็กอายุ 14ปีทำก็ต้องมีเข้ามาช่วยเหลือเด็กหนึ่งขวบบ้างแล้วแต่ในคลิปจะเห็นได้ว่าไม่มีใครที่เข้ามาช่วยเด็กน้อยเลย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะต้องมีการสืบสวนต่อไป